มองไกลเหนือความธรรมดา

จับภาพเส้นสายตาของคุณ

มองให้ไกลเหนือความธรรมดาด้วย NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S เลนส์ไพรม์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ที่ให้ทางยาวโฟกัสยาวที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ NIKKOR Z ในปัจจุบัน1

ระยะซูมที่ยอดเยี่ยมของ NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S ช่วยให้คุณถ่ายภาพสัตว์ป่า เครื่องบิน รถแข่ง หรือวัตถุอื่น ๆ จากระยะที่ปลอดภัยด้วยความละเอียดของภาพที่โดดเด่น

ไม่ได้ตกหลุมรักแค่ภาพในเฟรม แต่ตกหลุมรักสิ่งที่อยู่ในมือคุณด้วย

ขยายการเข้าถึงของคุณ

ตอนนี้คุณสามารถถ่ายภาพวัตถุในระยะทางที่ไกลยิ่งขึ้นโดยที่วัตถุอยู่ในเฟรมตามที่ตั้งใจไว้ โดยไม่ต้องซูมเข้าและครอบตัดส่วนภาพ

ทางยาวโฟกัส NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S ขยายได้อีกเป็น 1120mm2 และ 1600mm3 ด้วยการใช้ Z TELECONVERTER TC-1.4x หรือ Z TELECONVERTER TC-2.0x ตามลำดับ4

800mm

1120mm

1600mm

เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ด้วย NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S คุณจะได้สัมผัสกับประสิทธิภาพการออโตโฟกัส (AF) ที่แม่นยำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของระบบเมาท์ของ Z พร้อมสเต็ปปิ้งมอเตอร์ (STM) ที่เงียบสนิทและตอบสนองได้รวดเร็ว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพสัตว์ป่าขี้อาย

นอกจากนี้ ระบบลดภาพสั่นไหวในเลนส์ยังชดเชยการสั่นของกล้องได้ถึง 5.0 สต็อป5 หรือสูงสุด 5.5 สต็อป5 Synchro VR เมื่อจับคู่กับ Z 9 เพื่อให้มีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อถ่ายภาพที่ทางยาวโฟกัสซูเปอร์เทเลโฟโต้ หรือในสภาวะแสงน้อยเมื่อต้องใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำ

 

“ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรมีขอบเขต ถ้าเราฝันถึงมันได้ ก็สร้างมันให้เป็นจริง NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S เป็นเลนส์หายาก ที่เก็บภาพได้เหมือนตาเห็นและเหนือความคาดหมาย อีกทั้งยังถือไว้ได้เหมือนเลนส์ที่ขนาดและน้ำหนักที่แตกต่าง (เล็กกว่า)

เป็นอุปกรณ์ที่คล่องแคล่ว จะเข้าใจ/รับรู้ได้จริง ๆ ก็ต่อเมื่อได้ถืออยู่ในมือเท่านั้น ถ่ายภาพกีฬา สัตว์ป่า การเคลื่อนไหว การผจญภัย ทิวทัศน์เมือง ทิวทัศน์ ท้องฟ้า ภาพบุคคล และอื่น ๆ

นี่คือปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ ประกอบกับ Z 9 - สปีดสเตอร์ - ที่ดีที่สุดของทุกสิ่ง"

 

- Matt Irwin 

ภาพโดย Matt Irwin ภาพถ่ายของรุ่นก่อนการผลิต

ออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบาย

NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้รู้สึกสบาย โดยการจัดตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของเลนส์ไว้ใกล้กับร่างกายของคุณ ให้ความมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อถ่ายภาพโดยถือกล้องในมือ และการแพนกล้องที่ราบรื่นยิ่งขึ้นเมื่อติดตั้งเลนส์บนโมโนพอด

คุณจะจับเลนส์ได้มั่นคงยิ่งขึ้นด้วยการเคลือบยางกันลื่นที่ใช้กับพื้นผิวที่ใหญ่ขึ้น

เบากว่าในการพกพา

ด้วยน้ำหนักเพียงประมาณ 2385 กรัม NIKKOR Z 800mm f/6.3 VR S นั้นเบากว่าเลนส์ F เมาท์ รุ่นเดียวกันถึง 48% อย่าง AF S NIKKOR 800mm f/5.6E FL ED VR พกพาเลนส์ติดตัวไปได้อย่างง่ายดายและไปไหนมาไหนได้มากขึ้นเป็นระยะเวลานาน

เทคโนโลยีการควบคุม 

 เกือบสองศตวรรษมาแล้วที่เลนส์ Fresnel ใช้ในประภาคารเพื่อฉายลำแสงที่แรงกล้า ด้วยการใช้ประโยชน์จากแนวคิดดังกล่าวในทางกลับกันโดยใช้การรวมแสงแทนการฉายแสง เหล่าวิศวกรของ Nikon จึงสามารถสร้างเลนส์ที่สั้นและเบากว่าขึ้นมาได้ ที่มีคุณภาพของภาพและพลังการซูมเท่ากับเลนส์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก นอกจากนี้ ชิ้นเลนส์ Phase Fresnel ยังช่วยลดความคลาดเคลื่อนสีได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัล

โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัล ซึ่งเป็นสารเคลือบป้องกันแสงสะท้อน และการจัดวางชิ้นเลนส์ Phase Fresnel ช่วยลดเอฟเฟกต์แสงหลอกที่เกิดจากแสงสีแดงและแสงที่เข้าสู่เลนส์ในแนวทแยงมุมได้อย่างมาก เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด

กันฝุ่นละอองและหยดน้ำ

คุณยังคงโฟกัสภาพได้ในขณะที่ถ่ายภาพด้วยประสิทธิภาพของเลนส์กันฝุ่นและหยดน้ำที่เหนือชั้น6 และประสิทธิภาพการป้องกันสิ่งสกปรกของโค้ทผิวฟลูออรีนบนพื้นผิวของชิ้นเลนส์ส่วนหน้าสุดซึ่งต้านทานสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และหยดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรับแต่งได้เต็มที่

เลนส์มีปุ่ม L-Fn หนึ่งปุ่มและปุ่ม L-Fn2 สี่ปุ่ม คุณจึงสามารถกำหนดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้เหมาะกับความต้องการของคุณได้อย่างง่ายดาย รวมถึงฟังก์ชั่นการเรียกคืนหน่วยความจำ7 ซึ่งบันทึกและรองรับการเรียกคืนตำแหน่งโฟกัสที่ใช้บ่อยในทันที เปลี่ยนจากฟังก์ชันหนึ่งเป็นอีกฟังก์ชันหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่พลาดช่วงเวลาสำคัญ

เทคโนโลยี

เลนส์แอสเฟอริคัล

เลนส์โค้งที่มีพื้นผิวไม่เป็นทรงกลม ถูกใช้เพื่อลดความคลาดเคลื่อนและทำให้เลนส์มีขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้น เลนส์แอสเฟอริคัลช่วยลดโคม่าและความคลาดเคลื่อนของเลนส์แบบอื่น ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด แม้จะเปิดรูรับแสงกว้างที่สุดก็ตาม เทคโนโลยีดังกล่าวมีประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขความผิดเพี้ยนในเลนส์มุมกว้าง พร้อมทำให้ตัวเลนส์นั้นเบาและกะทัดรัดยิ่งกว่าเดิมได้ด้วยการลดจำนวนชิ้นส่วนมาตรฐาน (ทรงกลม) ที่จำเป็นลงได้ ชิ้นเลนส์แอสเฟอริคัลแก้ไขความผิดเพี้ยนเหล่านี้ได้ด้วยการเปลี่ยนค่าดัชนีการหักเหได้อย่างต่อเนื่องจากตรงจุดศูนย์กลางของเลนส์

เลนส์ IF

เลนส์ NIKKOR มีแค่กลุ่มเลนส์ภายในที่เลื่อนระหว่างการโฟกัส ทำให้ขนาดของ IF NIKKOR ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดระหว่างการทำงานของออโตโฟกัส ทำให้เลนส์นั้นกะทัดรัดและมีน้ำหนักเบาซึ่งทำให้ได้ระยะโฟกัสที่ใกล้กว่าเดิม เลนส์เหล่านี้จะมีอักษรย่อ IF ตรงกระบอกเลนส์

สเต็ปปิ้งมอเตอร์

เลนส์ NIKKOR Z ใช้สเต็ปปิ้งมอเตอร์เพื่อให้ออโตโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ราบรื่น และเงียบเชียบด้วยอาการสั่นที่ลดลง ระบบการทำงานที่เงียบเชียบนี้เองทำให้เลนส์นั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายทำวิดีโอ

กลไกไดอะแฟรมระบบแม่เหล็กไฟฟ้า

กลไกไดอะแฟรมระบบแม่เหล็กไฟฟ้าในกระบอกเลนส์ช่วยให้ไดอะแฟรมอิเล็กทรอนิกส์หรือการควบคุมกลีบรูรับแสงมีความแม่นยำสูงเมื่อใช้การรับแสงอัตโนมัติระหว่างการถ่ายทำที่ต่อเนื่อง

กระจก ED (การกระจายแสงต่ำเป็นพิเศษ)

กระจกระบบออปติกที่พัฒนาโดย Nikon นั้นถูกใช้ร่วมกับกระจกระบบออปติกปกติในเลนส์เทเลโฟโต้เพื่อการแก้ไขความคลาดเคลื่อนสีได้ดีที่สุด

โค้ทผิวฟลูออรีน

ช่างภาพต้องการอุปกรณ์ที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ โค้ทผิวฟลูออรีนของ Nikon ป้องกันการเกาะตัวของฝุ่นละออง หยดน้ำ คราบมัน หรือความสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ขจัดคราบออกได้ง่ายเมื่อติดอยู่ที่พื้นผิวของเลนส์ โค้ทผิวฟลูออรีนของ Nikon ทนทานต่อการเช็ดพื้นผิวเลนส์บ่อย ๆ ได้และเอ็ฟเฟ็กต์ป้องกันแสงสะท้อนของเลนส์ยังมีส่วนช่วยในการถ่ายภาพที่ชัดเจนอีกด้วย

ระบบลดภาพสั่นไหว

เทคโนโลยีในเลนส์ของ Nikon ที่ปรับปรุงความเสถียรของภาพด้วยการชดเชยการสั่นไหวของกล้องโดยอัตโนมัติ เลนส์ที่มี VR จะมีตัวย่อ VR อยู่ตรงกระบอกเลนส์

ชิ้นเลนส์เชิงหักเหช่วงคลื่นสั้น

SR เป็นเลนส์กระจกที่มีการกระจายแสงสูงและพิเศษ ที่หักเหแสงด้วยความยาวคลื่นที่สั้นกว่าแสงสีน้ำเงิน ด้วยการควบคุมแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น เลนส์จึงสามารถชดเชยความคลาดเคลื่อนของสีได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สีในภาพของคุณแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การออกแบบเลนส์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ได้การออกแบบเลนส์ที่กะทัดรัดและเบาขึ้น

เลนส์ PF

เลนส์ PF (Phase Fresnel) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Nikon สามารถชดเชยความคลาดเคลื่อนสีได้เป็นอย่างดีโดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Photo Diffraction หรือการเลี้ยวเบนของแสง* โดยเลนส์ชนิดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการชดเชยความคลาดเคลื่อนสีเมื่อใช้ร่วมกับเลนส์กระจกแบบปกติ และเมื่อเทียบกับเลนส์กล้องทั่วไปที่ใช้ระบบออปติกที่อาศัยปรากฏการณ์การหักเหแสงแล้ว เลนส์นี้ยังมีขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักเบากว่ามาก เนื่องจากมีจำนวนชิ้นเลนส์น้อยกว่า


* ปรากฏการณ์การเลี้ยวเบน: แสงมีลักษณะเป็นรูปคลื่น ซึ่งเมื่อกระทบกับสิ่งกีดขวางก็จะพยายามเลี้ยวอ้อมไปทางด้านหลัง และเราเรียกลักษณะเฉพาะนี้ว่า Diffraction หรือการเลี้ยวเบน โดยการเลี้ยวเบนนั้นทำให้เกิดการกระจัดกระจายของสีในกระบวนการหักเหแสงแบบย้อนกลับ

ภาพของ LCD วิดีโอ และแกลเลอรีภาพถ่ายมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการนำเสนอเท่านั้น

เลนส์มีกลไกไดอะแฟรมระบบแม่เหล็กไฟฟ้า กล้องรุ่นต่อไปนี้สามารถใช้งานร่วมกับเลนส์นี้ได้: Z 5, Z 50, Z 7II, Z 7, Z 6II, Z 6, Z 9

1 ณ วันที่ 6 เมษายน 2565
2 ค่ารูรับแสงสูงสุดจะลดลงเหลือ f/9
3 ค่ารูรับแสงสูงสุดจะลดลงเหลือ f/13
4 ประสิทธิภาพของออโตโฟกัสอาจลดลงขึ้นอยู่กับวัตถุ ความสว่าง และตำแหน่งโฟกัสโดยไม่คำนึงถึงตัวกล้อง ทำให้เกิดการโฟกัสที่ไม่ถูกต้อง ความเร็วในการโฟกัสช้า หรือการกะพริบของจุดโฟกัส
5 เป็นไปตามมาตรฐาน CIPA ค่านี้จะได้มาเมื่อต่อเข้ากับกล้องที่มีเซ็นเซอร์ฟูลเฟรม (รูปแบบ FX ของ Nikon) โดยการตั้งค่าฟังก์ชัน VR ของกล้องเป็น "ปกติ"
6 เลนส์ไม่รับประกันการป้องกันฝุ่นละอองและหยดน้ำในทุกสถานการณ์หรือภายใต้ทุกสภาพเงื่อนไข
7 กล้องที่เข้ากันได้กับฟังก์ชั่นนี้คือ Z 9, Z 7II และ Z 6II เท่านั้น ณ วันที่ 6 เมษายน 2022 เมื่อใช้ฟังก์ชั่นนี้ จะต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์ของกล้องเป็นเวอร์ชันล่าสุด สำหรับซีรีส์ Z รุ่นอื่น ๆ ฟังก์ชั่นนี้จะได้รับการสนับสนุนผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์ในภายหลัง