NIKKOR Z 35mm f/1.2S

โค้ทผิว ARNEO เป็นระบบการเคลือบป้องกันแสงสะท้อนซึ่งช่วยให้แสงที่ตกกระทบพื้นผิวเลนส์จากทิศทางแนวตั้งสะท้อนแสงต่ำเป็นพิเศษ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตเลนส์ให้บางเบาตามแบบฉบับของ Nikon ที่มาพร้อมอัลกอริทึมซึ่งช่วยปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงช่วยให้ระบบเลนส์นี้สามารถถ่ายภาพที่ชัดเจนโดยลดผลกระทบจากแสงโกสต์และแสงแฟลร์ให้น้อยที่สุด แม้มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ภายในเฟรม

เลนส์ประเภทนี้ใช้พื้นผิวที่ไม่เป็นทรงกลมจากด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านของกระจกเพื่อขจัดความคลาดเคลื่อนของเลนส์บางประเภท ชิ้นเลนส์แอสเฟอริคัลเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแก้ไขภาพที่ผิดเพี้ยนจากเลนส์มุมกว้าง โดยความผิดเพี้ยนนี้เกิดจากความแตกต่างในการขยายภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะห่างจากแกนแสง ชิ้นเลนส์แอสเฟอริคัลแก้ไขความผิดเพี้ยนเหล่านี้ได้ด้วยการเปลี่ยนค่าดัชนีการหักเหได้อย่างต่อเนื่องจากตรงจุดศูนย์กลางของเลนส์ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 วิศวกรของ Nikon ได้สร้างทฤษฎีการออกแบบและเทคนิคในการสร้างสรรค์เลนส์เพื่อปรับแต่งเลนส์แอสเฟอริคัลให้ยอดเยี่ยม ในปี 1968 เลนส์ OP NIKKOR ฟิชอาย 10 มม. f/5.6 ได้กลายเป็นเลนส์ SLR แบบเปลี่ยนเลนส์ได้ชิ้นแรกที่มีชิ้นเลนส์แอสเฟอริคัลรวมอยู่ด้วย นับตั้งแต่นั้นมา เลนส์แอสเฟอริคัลก็เป็นส่วนสำคัญของบรรดาเลนส์ NIKKOR และได้เพิ่มเป็นเลนส์รุ่นใหม่ที่ให้คอนทราสต์ ความละเอียด และการออกแบบที่กะทัดรัดอย่างเหนือระดับในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เลนส์แอสเฟอริคัลแบบไฮบริด: ทำจากพลาสติกชนิดพิเศษที่ขึ้นรูปบนกระจกออปติคัล เลนส์แอสเฟอริคัลชนิดกระจกขึ้นรูป: ผลิตโดยการกดกระจกออปติคัลโดยตรงลงในแม่พิมพ์แอสเฟอริคัลที่มีความแม่นยําสูง

เลนส์ประเภทนี้ใช้กระจก ED (การกระจายแสงต่ำเป็นพิเศษ) เป็นวัสดุสำหรับลดการเหลื่อมสีได้อย่างยอดเยี่ยม และโดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ไม่เป็นทรงกลมด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านของกระจก เลนส์จะสามารถเรนเดอร์ได้อย่างเหนือชั้น โดยเพิ่มข้อดีของทั้งกระจก ED และเลนส์แอสเฟอริคัลให้มากที่สุด เพื่อแก้ไขความคลาดเคลื่อนของเลนส์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความคลาดเคลื่อนสีตามแนวตั้งฉาก แสงแฟลร์รุนแรงบริเวณขอบภาพ ตลอดจนความผิดเพี้ยนและความคลาดเคลื่อนทรงกลม เลนส์นี้สามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนของกระจก ED และเลนส์แอสเฟอริคัลได้ในชิ้นเลนส์เดียว ช่วยให้มีขนาดกะทัดรัดพกพาง่าย

Nikon เป็นผู้ผลิตกล้องรายแรกของโลกที่พัฒนากระจก ED (การกระจายแสงต่ำเป็นพิเศษ) ที่สามารถลดการกระจายของสีซึ่งเกิดจากปริซึมได้ และกระจก ED ที่มีการกระจายต่ำนี้ยังมีคุณสมบัติการกระจายที่ผิดปกติ เช่น ผลึกแคลเซียมฟลูออไรด์ ซึ่งจะช่วยลดสเปกตรัมทุติยภูมิลง สำหรับเลนส์ที่ใช้กระจกออปติคัลธรรมดา ยิ่งทางยาวโฟกัสมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งแก้ไขความคลาดเคลื่อนสีที่ก่อให้เกิดการเหลื่อมสีได้ยากมากขึ้นเท่านั้น เลนส์เทเลโฟโต้ NIKKOR ได้นำกระจก ED ของ Nikon ซึ่งชดเชยความคลาดเคลื่อนสีประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาใช้งานอย่างหลากหลายเพื่อการถ่ายทอดภาพที่เหนือชั้น

เนื่องจากเลนส์มีชุดใบไดอะแฟรมซึ่งติดตั้งกลไกขับเคลื่อนในตัวเลนส์ ทำให้กล้องสามารถควบคุมรูรับแสงได้อย่างแม่นยำโดยผ่านสัญญาณไฟฟ้า จึงช่วยให้ได้การควบคุมรูรับแสง (AE) ที่มีเสถียรภาพอย่างสม่ำเสมอ แม้ในขณะถ่ายภาพต่อเนื่อง^*

นี่คือระบบที่ชิ้นเลนส์แบ่งออกเป็นกลุ่มด้านหน้า กลาง และหลัง และมีเพียงกลุ่มกลางเท่านั้นที่เคลื่อนไหวด้วยการโฟกัส ความยาวของทั้งเลนส์จะไม่เปลี่ยนแปลงจากการโฟกัส คุณจะสามารถเพิ่มความเร็วออโตโฟกัสให้เลนส์ซูมและเลนส์เทเลโฟโต้ได้ เนื่องจากน้ำหนักของกลุ่มโฟกัสสามารถลดลงได้

Meso Amorphous Coat ช่วยยับยั้งแสงโกสต์และแสงแฟลร์ที่เกิดจากแสงตกกระทบจากทุกทิศทางซึ่งรวมไปถึงแสงที่ผ่านเข้ามาในเลนส์ทั้งในแนวทแยงและแนวตั้งได้จนถึงระดับสูงสุด ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงสะท้อนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ NIKKOR ในระบบการเคลือบนี้ อนุภาคที่มีรูปร่างไม่แน่นอนจะเชื่อมต่อกันและซ้อนทับกันแบบสุ่มเพื่อสร้างรูพรุนจำนวนมากที่เรียกว่ามีโซพอร์ (Mesopore) รูพรุนจำนวนมากที่อยู่ในชั้นเคลือบจะก่อให้เกิดโครงสร้างมีโซพอร์ที่ละเอียดมากซึ่งให้ค่าดัชนีการหักเหที่ต่ำสุด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นเคลือบรองพื้นที่ให้ความแม่นยำยิ่งกว่าเดิมยังช่วยเสริมการป้องกันแสงสะท้อนได้มากยิ่งขึ้นด้วย

โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัลของ NIKKOR มีต้นกำเนิดมาจากเทคโนโลยีการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของ Nikon เป็นการเคลือบป้องกันแสงสะท้อนที่ใช้การเคลือบดัชนีการหักเหต่ำเป็นพิเศษซึ่งมีอนุภาคคริสตัลขนาดนาโน ^* ที่ละเอียดอย่างยิ่ง อนุภาคคริสตัลละเอียดนี้ช่วยกำจัดแสงสะท้อนภายในเลนส์ตลอดสเปกตรัมของคลื่นแสงที่มองเห็นได้ (380 ถึง 780 นาโนเมตร) เหนือกว่าขีดจำกัดของระบบเคลือบสารกันแสงสะท้อนทั่วไป โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัลไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาผลกระทบจากแสงโกสต์ที่เกิดจากแสงสีแดงซึ่งเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับระบบก่อนหน้านี้เท่านั้น ทว่ายังแก้ปัญหาผลกระทบจากแสงโกสต์และแสงแฟลร์ที่เกิดจากแสงสีแดงที่ส่องเข้ามาตามแนวทแยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์: ภาพที่ชัดเจนขึ้น ระบบการเคลือบผิวขั้นสูงนี้ใช้สําหรับเลนส์ F เมาท์ระดับสูงและเลนส์ S-Line ทั้งหมดของ Z เมาท์

การทำงานของมอเตอร์ผสานกันกับกําลังไฟฟ้าพัลส์, การหมุนหนึ่งขั้นตอนต่อพัลส์ไฟฟ้า ตอบสนองและควบคุมการเริ่มทำงานและการหยุดได้อย่างยอดเยี่ยม และมีโครงสร้างกลไกที่เรียบง่ายช่วยให้การทำงานที่เงียบเชียบ มีประโยชน์เมื่อใช้ถ่ายวิดีโอและช่วงเวลาอื่น ๆ เมื่อกังวลเรื่องเสียงรบกวนจากการทำงานของเลนส์

การเคลือบเลนส์หลายชั้นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Nikon สามารถส่งผ่านแสงได้สูงในช่วงความยาวคลื่นที่กว้างขึ้น ระบบการเคลือบนี้จะช่วยลดผลกระทบจากแสงโกสต์และแสงแฟลร์ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ย้อนแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่เลนส์ซูมที่มีชิ้นกระจกจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ภาพที่มีคอนทราสต์สูงพร้อมการไล่ระดับสีที่สมบูรณ์ ด้วยความสมดุลของสีที่โดดเด่นและความสามารถในการให้ภาพ จึงให้ประสิทธิภาพด้านออปติคัลที่ยอดเยี่ยม ผลกระทบจากแสงโกสต์และแสงแฟลร์ที่เกิดจากการสะท้อนแสงภายในโดยเฉพาะจากกล้องดิจิตอลก็ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ระบบการเคลือบนี้ใช้กับเลนส์ปัจจุบันทั้งหมดในกลุ่ม NIKKOR